ใช่ค่ะ คุณอ่านชื่อกระทู้ไม่ผิด “วันเดียวเที่ยวเชียงใหม่”
จะบ้าเร๊อะ วันเดียวเนี่ยนะจะไปทำอัลไลเทอ มาค่ะ ตามมาอ่านความบ้าของเรากัน 555
อย่างที่รู้ว่าช่วงเดือนมกราคมของทุกปี “ดอกพญาเสือโคร่ง” จะแข่งกันออกดอกทั่วทั้งภูเขา
เราเป็นคนนึงที่หลงใหลเจ้าเสือหน้าหวานพวกนี้ ต้องได้ไปเยี่ยมพี่โคร่งแกทุกปี เปรียบเสมือนไปหาญาติผู้ใหญ่
ยกเว้นปีที่แล้ว เพราะปีก่อนหน้านั้นเราอกหักจากพี่เสือขาประจำที่ขุนช่างเคี่ยน ถ้าเพื่อนๆได้ติดตาม จะรู้ว่าเราช้ำรักแค่ไหน 555
ตามล่าพญาเสือโคร่ง ณ ขุนช่างเคี่ยน (หนาวเนื้อห่มเหนือ part.3)
หลังจากกลับมาจากทริปนั้นแค่ 10 วัน เราตัดสินใจไปหาพี่โคร่งรักใหม่ที่ภูลมโลค่ะ
ออกไปกอดเขาสีชมพู ณ ภูลมโล
คือภูลมโลสวยมากกกก ใครที่ยังไม่เคยไป บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดจริงๆ
คือรู้สึกอิ่มมากกับทริปนั้น เลยทำให้ไม่อยากไปดูพี่โคร่งที่ไหนอีกแล้วนอกจากที่นี่
แต่ปีนี้นั่งเปิด facebook มีแต่คนแชร์พี่โคร่ง ทั้งภูลมโล ทั้งขุนช่างเคี่ยน
คือบอกก่อนเลยว่าขุนช่างเคี่ยนปีนี้ full bloom สุดๆ เยอะกว่าทุกปีที่เราเคยไปมาเลย
ในใจก้อยากจะไปภูลมโล แต่เดินทางยากจังไปคนเดียวเนี่ย แถมมีเวลาแค่ 1 วันถ้วนอีกตะหาก
ต่อมวื้ดวือวอแวเริ่มทำงาน เอาวะ วันศุกร์นั่งจองตั๋วพี่หางแดงเจ้าประจำ
ขาไปไฟล์ทเช้าสุด ออกจากดอนเมือง ตี 5.10 เราไปถึงเชียงใหม่ตอน 6 โมง 20
คือเช้ามากกก ยังมืดอยู่เลยอ่ะ เลยนั่งรอฟ้าสว่างในสนามบินแป๊ปนึง 555
พอก้าวขาออกไปเท่านั้นแหล่ะ อู้วหูวววลมพัดตึ่ง หนาวคร้อด 16 องศา!
คือตอนมาไม่ได้เช็คอะไรเลยจริงๆแม้แต่สภาพอากาศ แถมใส่ขาสั้นชิวๆมาอีกให้ตายเถอะ
โบกรถแดงในสนามบินไปลงนิมมานค่ะ ราคา 30 บาท ยังมีเวลาเหลือๆตอนแรกว่าจะไปเดินถ่ายรูปวัดแถวท่าแพก่อน
แต่ไม่ไหวกับอากาศและลมจริงๆ เราเลยไปหาร้านกาแฟตั้งหลักก่อน
เดิมๆเลย ร้านประจำ Doppio Ristr8to ปากซอยนิมมาน 3
เมนูเดิมด้วย Iced Long Black แก้วละ 68.-
แหม๋ ถ้าเปลี่ยนเจ้าน้ำเปล่าใสๆในขวดได้คงดี น่าจะแก้หนาวได้นิดนึงเนอะ 555
นั่งซักพักเริ่มหิวข้าวค่ะ ไปหาอะไรยัดลงท้องดีกว่า เพราะคาดว่ามื้อต่อไปคงเป็นมื้อเย็นเลย
เปิดอ่านรีวิวด่วน เจอร้านโดนใจละ อยู่นิมมาน 7 ค่ะ เดินไปไม่นานก้ถึง
คือไม่ได้มีฟีลเดินเล่นนิมมานนานมากละ เดี๋ยวนี้ร้านใหม่ๆน่ารักเปิดเพียบเลยอ่ะ
เดินมาไม่นาน เราก้มาถึงจุดหมายค่ะ “Rustic & Blue – Handgrown Produce & Artisan Food”
ชื่อยาวไปหน่อย แต่รับรองว่าอร่อยจริงๆ 55555
แต่ๆๆ ร้านเปิด 8 โมงครึ่งค่ะ เราเดินมาถึงร้านประมาณ 7.45 ไม่เป็นไรระหว่างรอก้เดินเล่นแถวนั้น
อย่างที่บอก ร้านจะอยู่นิมมาน 7 ค่ะ เดินเข้ามานิ้ดเดียว มองฝั่งขวามือไว้เดี๋ยวก้เจอค่ะ
ฝั่งตรงข้ามจะเป็น Hostel น่ารักๆ Room No.7
เดินย้อนมาทางปากซอยหน่อยจะเป็นร้าน “กาแฟดินสอ” สีสันสดใสเชียว แต่ยังไม่เปิดเช่นกันค่ะ
ข้างๆจะเป็นร้าน “PICCADILLY” เป็นร้านไอติม ขนมหวานแบบชมพูฟรุ้งฟริ้งชื่อดังแห่งนิมมาน
ยังไม่เปิดอีกเช่นกันค่ะ แง๊ T_T
เดินกลับมาที่ร้าน นั่งดูเมนูรอเรื่อยๆค่ะ น่าทานไปหมดเลย แต่ละเมนูดู healthy สุดๆ
เราเลือกนั่งโซน outdoor ค่ะ รับลมเย็นๆซักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ 555
นั่งไม่นานก้มีน้องพนักงานผู้หญิงมารับเมนูค่ะ บริการดี น่ารักสุดๆไปเลย ><
เริ่มที่เมนูเครื่องดื่ม วันนี้เราสั่ง “LAVENDER LAMONADE” 95.-
คือหน้าตาสีสันดูธรรมดามากกก แต่พอได้ลองชิมแล้วถึงกับตะโกนในใจว่า “คุณพระ!!!”
อร่อย ลงตัว คือกลิ่นดีมากกก รสชาติดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันบอกไม่ถูกอ่ะ ต้องไปลองกันเองค่ะ
ฟินกับเมนูเครื่องดื่มไปแล้ว มาดูมื้อเช้าของเราบ้างดีกว่าค่ะ กับเมนู “ROSY EGG BENEDICT” 225.-
เป็น EGG BENEDICT เสิร์ฟพร้อม Croissant และซอสบีทรูท รสชาติเปรี้ยวนิดๆ เข้ากันดี๊ดี
มาพร้อมผักสลัดสดๆ และมันฝรั่ง มันหวานย่างหอมๆ คือจานนี้ลงตัวมากกค่ะ
นั่งทานไปแป้ปเดียว ไม่ถึง 10 นาที คนเข้ามาเต็มร้านเลยค่ะ ดีนะที่เรามาก่อน ไม่งั้นละรอเงกเลย
บรรยากาศน่ารักสุดๆ ทั้งฝรั่ง คนไทย นั่งคุยกันเบาๆ
ผสมกับแดดอ่อนๆ อากาศเย็นๆ เหมือนนั่งทานข้าวเช้าที่เมืองนอกเลยค่ะ >///<
มี service charge 5 % รวมแล้วมื้อนี้ 336.- ถือว่าไม่แพงค่ะ
เพราะแต่ละเมนูเค้าเสิร์ฟมาแบบมีเอกลักษณ์ ผสมผสานศิลปะเข้ากับอาหารได้อย่างลงตัว
เอาเป็นว่าร้านนี้ ขึ้นแท่นเป็นร้านอาหารเช้าอันดับ 1 ในใจเราไปเรียบร้อย
ถ้ามีโอกาส อยากให้ไปลองค่ะ แล้วคุณจะหลงรักอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนออกเดินทาง ก้ทำธุระจัดการตัวเองให้เรียบร้อยค่ะ ขนาดห้องน้ำยังดูดี 555
จากร้าน “Rustic & Blue – Handgrown Produce & Artisan Food” เราก้เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง
เพื่อโบกรถแดงไปที่คิวรถที่จะขึ้นดอยสุเทพ บริเวณหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ค่ะ ราคา 30 บาท
ตอนแรกว่าจะขึ้นไปไหว้พระที่วัดพระธาตุดอยสุเทพก่อน ค่ารถ 40 บาท
แล้วค่อยขึ้นจากดอยสุเทพไปเดินเล่นที่ภูพิงค์ แล้วค่อยขึ้นไปถ่ายแสงเย็นปิดทริปที่ขุนช่างเคี่ยน
แต่ทีนี้พอดีว่ามีคันที่จะยิงยาวขึ้นขุนช่างเคี่ยนเลย 200 บาท ถ้าเราขึ้นรถแล้วออกเลย
คือถ้าตามแพลนเดิม จากหน้าภูพิงค์ไปขุนช่างเคี่ยนก้ต้องรอให้สองแถวเต็มก่อน
กว่ารถจะออก น่าจะใช้เวลาพอสมควร ราคาบวกแล้วคงไม่ต่างกันมาก
เอาวะเปลี่ยนแพลนขึ้นไปก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากัน
จากหน้าสวนสัตว์ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เราจะถึงขุนช่างเคี่ยนค่ะ
ด้วยความที่เป็นถนนลูกรังเลนเดียว แคบ เหว เลยค่อนข้างอันตราย ต้องใช้ความระมัดระวังกันค่ะ
เวลารถขับสวนกันก้จะเสียวๆนิดนึง 5555 รถเยอะก้จะติดกันเป็นขบวนแบบนี้ค่า
เรามาถึงตอน 11 โมงกว่าๆ ขึ้นมาถึงจุดหมายแล้วเราจะเห็นมุมนี้ค่ะ
คือบอกเลยว่าปีนี้พีคจริงๆ พีคสมคำค่ำรือ ดอกใหญ่ ดอกแน่น
จากจุดด้านบน มองลงไปจะเป็นมุมมหาชน ที่ใครๆก้ไปถ่ายกันตรงนั้นค่ะ
เอาเป็นว่าเชิญเสพพี่โคร่งได้ตามอัธยาศัยค่ะ
สำหรับใครที่ขึ้นไปบนนั้นไม่ต้องกลัวอดนะคะ มีทั้งข้าว กาแฟ ก๋วยเตี๋ยว เครป ลูกชิ้นทอดเลยค่ะ 555
ส่วนเรากว้านซื้อสตรอเบอร์รี่ค่ะ คือเป็นคนที่ชอบกินสตรอเบอร์รี่ม้ากกก กินมาแทบจะทั่วทุกดอยแถบภาคเหนือละ
แต่เราว่าสตรอเบอร์รี่ที่นี่อร่อยสุด ลูกโต ราคาไม่แพง หวานฉ่ำกว่าที่อื่นจิงๆนะ
มุมนี้มองจากด้านล่างขึ้นไปค่ะ ที่เห็นกิ่งๆนั่นเป็นสวนบ๊วยค่ะ มีดอกประปราย
เดินสำรวจมาเรื่อยๆ ย้อนออกมาทางที่รถเข้า ก้จะเป็นวิวประมาณนี้ค่ะ
มองไปทางไหนก้มีแต่สีชมพู แหงนมองท้องฟ้ายังเป็นสีชมพูเลย กรี๊ดดด
นอกจากพญาเสือโคร่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า
ที่ปลูกโดยสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เดินลึกเข้าไปด้านในจะเจอกับลานสนามหญ้า และศาลานี้ค่ะ
สวยทุกมุม สวยทุกดอก รู้สึกฟินกับขุนช่างเคี่ยนปีนี้มาก รูปก้จะได้ประมาณนี้ค่ะ
จะมีน้องๆใส่ชุดชาวเขาเยอะแยะเลยค่ะ ซื้อขนมเลี้ยงน้องๆเค้าได้นะคะ ถ่ายรูปได้เต็มที่น้องๆเค้าน่ารักค่า
เผลอแปปเดียวจะ 4 โมงแล้ว ขอถ่ายโค้งสุดท้ายก่อนแสงจะหมดแล้วกันค่ะ
ได้เวลาโบกมือลาพี่เสือ ถ้าปีหน้าพี่ฟูเท่าปีนี้เดี๋ยวน้องจะกลับมาหาใหม่นะ น้องสัญญา
เราลงจากขุนช่างเคี่ยนประมาณเกือบๆ 5 โมงเย็นค่ะ โดยการโบกรถกระบะเหมือนเดิมค่ะ คนเชียงใหม่เค้าใจดีนะคะ ^^
เราขอติดรถพี่เค้าไปลงที่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีก้ถึงค่ะ
เรามาถึงวัดกันประมาณ 5 โมงกว่าๆค่ะ ตัดสินใจว่าจะเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ขึ้นกระเช้า
สรุปกว่าจะไปถึงยอด แทบถอดใจ หายใจจนปอดจะฉีกค่ะ 5555555
ข้างบนจะมีจุดชมวิวเมืองค่ะ สามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั่วเลย
เริ่มเอะใจ นี่เชียงใหม่ หรือกรุงเทพ 555555
ใกล้ค่ำแล้ว เรานั่งรถแดงหน้าวัด 60 บาท มาลงที่นิมมานค่ะ ลงมาสภาพสะบักสะบอมมากกก
หิวโซ หาของกินก่อนเลยค่ะ ใจจริงอยากกินต๋องเต็มโต๊ะ แต่ก้กลัวว่าโต๊ะต๋องจะเต็ม
เลยไม่ขอเอากระเพาะตัวเองไปเสี่ยงดีกว่าค่ะ มาร้านโปรดเราอีกร้านดีกว่า “ไก่ย่างเชิงดอย”
ดีนะไปถึงยังหัวค่ำหน่อย ยังพอมีโต๊ะว่างอยู่ 2-3 โต๊ะค่ะ ไม่รีรอสั่งอย่างรวดเร็ว
พอสั่งเสดเท่านั้นแหล่ะ ไม่รู้คนไหลกันมาจากไหน ยืนรอคิวกันเต็มหน้าร้านเลยค่ะ
นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ “ชั้นคือผู้รอด” 55555555
จานแรก ไก่ย่างหนังกรอบ 60.- ไม่หิวเท่าไหร่ เบิ้ลมา 2 จานเลยพี่
ตับหวาน 50.- มีให้เลือกนะคะ ว่าจะเอาแบบสุก หรือสะดุ้ง ส่วนเราขอแบบสะดุ้งค่ะ
ลาบหมู 50.-
ตำซั่วปูปลาร้า 40.- โอ้ยย นัวเหมือนเดิมเลย นี่พิมพ์ไปน้ำลายแตกไป
ต้มยำเห็ดฟางนางฟ้า 50.- แซ่บๆ ร้อนๆ ซดคล่องคอดีนักแล
และยังมีคอหมูย่าง กับตำมะม่วงปูปลาร้า ที่เราไม่ได้ถ่ายมา เพราะกำลังนัวอยู่กับอาหารตรงหน้า 55555
บอกแล้วว่าหิวจริง บวกข้าวเหนียว น้ำ มื้อนี้หมดไปเกือบๆ 600 ค่ะ ถูกและแซ่บจิงๆ
ทานเสดก้เกือบๆ 2 ทุ่มละค่ะ boarding ตอน 3 ทุ่ม 40 เอาไงดี ลังเลว่าจะไปต่อ BEER LAB ดีมั้ย
เดินไปเล็งหน้าร้านสรุปคนเพียบค่ะ ถอยดีกว่า ไม่กล้าเสี่ยง กลัวจะตกเครื่องเอา 555
ด้วยความที่เวลาหัวค่ำแบบนี้ การจราจรในเชียงใหม่ได้แปลงร่างเป็นอโศกไปเรียบร้อย
ตัดสินใจไปสนามบินดีกว่า โบกรถแดงเท่าไหร่ก้ไม่ไป มีแต่เหมา 150
พอดีมีตุ๊กๆโฉบเข้ามาค่ะ ไปสนามบิน 120 เออถูกกว่า 30 ก้ยังดี ดีกว่าตกเครื่องนะ 55555
เกือบถามแล้วว่าเหมาไปกรุงเทพเท่าไหร่พี่ จุดนี้หนูไม่อยากขยับร่างละ
พี่แกก้ซิ่งทำเวลาให้ดีเหลือเกิน ไปถึงสนามบินประมาณ 3 ทุ่มค่ะ มีเวลานั่งหายใจอีกแปปนึง
เรามาถึงดอนเมืองตอนเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ เหมือนนางซินเลย แต่เป็นนางซินที่พร้อมหัวทิ่มหมอนได้ตลอดเวลา 555
เป็นอีกทริปที่ประทับใจสุดๆ ถึงแม้จะแค่วันเดียวก้ตาม
ขอบคุณสำหรับทุกๆมิตรภาพระหว่างทางที่เจอนะคะ เที่ยวคนเดียวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ
ไม่เชื่อลองดูสิ ♡