รอบนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวเชียงใหม่กัน (อีกแล้ว) ค่ะ 555
แต่เป็นเชียงใหม่ในอีกมุม ซึ่งบางสถานที่เรายังไม่เคยไปเลย

คื น วั น ศุ ก ร์ . . .
เราออกจากกรุงเทพกันคืนวันศุกร์ ประมาณ 3 ทุ่มกว่าค่ะ
ทริปนี้เราตกลงกันว่าจะเช่ารถตู้กันวันละ 1800 บาท
ไม่ขับ ไม่บิน เนื่องจากอุปกรณ์แค้มป์ปิ้งของพวกเรามีเยอะแยะมากมาย
เ ช้ า วั น เ ส า ร์ . . .
พวกเรามาถึงทางขึ้นดอยอินทนนท์กันตอนประมาณ 6 โมงเช้า
เหมารถตู้ขึ้นไปเที่ยวบนดอยอินทนนท์กันในราคา 2000 บาท เพื่อให้พี่คนขับได้นอนพักค่ะ
อากาศบนยอดดอยอินทนนท์หนาวม้ากกกค่ะ เช้าวันนี้ประมาณ 3 องศา
ปิดแอร์ เปิดหน้าต่าง เอาหัวโผล่ไปนอกรถสิคะจะรออัลไล ดมกลิ่นดิน กลิ่นสน วนไปค่ะ หอมชื่นใจจจ
หายใจเข้าลึกๆแล้วคือดี อากาศสะอาดสุดๆ รู้สึกว่าได้ฟอกปอดจิงๆค่ะ 555
เดินเล่นอยู่ในป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์บนยอดดอยอินทนนท์ซักพักนึงค่ะ
ที่นี่กุหลาบพันปีเยอะมากค่ะ สวยสุดๆเสร็จแล้วเราก้ลงมาเที่ยวกันต่อที่
พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
ตั้งอยู่บนกม.ที่ 41.5 ถ้าขับลงไปจากยอดดอยอินทนนท์ จะอยู่ฝั่งขวามือค่ะ
พระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร.๙
เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ค่ะ
เป็นพระมหาสถูปเจดีย์องค์แรกที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงถึง ๖๐ เมตร
รอบเจดีย์สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้รอบเลยค่ะ
พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ค่ะ
องค์จะเป็นสีม่วงอมชมพู
และบริเวณนี้จะมีสวนดอกไม้สวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ
Next station “ฟาร์มแกะดอยผาตั้ง” หรือ “ม่อนน้องแกะ”
ตั้งอยู่ใกล้กับพระตำหนักดอยผาตั้งค่ะ
เขาเล่าว่า…เสมือนเราไปยืนอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรอ!!?
ไหนสนามหญ้าเขียวๆของช้าน สงสัยน้องแกะคงเล็มไปหมดแล้วแน่ๆ ฮืออ T_T
ยื น ง ง อ ยู่ ใ น ด ง แ ก ะ
แหม๊ะ!!! ร้องดังมากลูกกก 555น้องยิ้มให้ด้วยยย น่ารักจุง
เห็นแดดแรงๆแบบนี้ ลมพัดตึ่งนะฮะจะบอกให้
มาต่อกันที่ “น้ำตกวชิรธาร” สถานที่เกือบสุดท้ายที่เราจะแวะเที่ยวกันบนดอยอินทนนท์ค่ะ
เป็นน้ำตกที่เดินสบายที่สุดตั้งแต่เที่ยวมาค่ะ ก้าวขาจากลานจอดรถ เดิน 1 นาทีก้ถึงเลยค่ะ
จากน้ำตก เรามาหาสตรอเบอร์รี่กินกันต่อที่ตลาดม้งดอยอินทนนท์กันค่ะ
มีหลายไซส์ หลายราคาให้เลือกเลยค่ะ เราซื้อมากล่องละ 80 บาท ใหญ่ หอม หวาน ฉ่ำ
ไม่ได้ช้ำแต่อย่างใดนะคะ แต่อยากกินจนต้องเปิดกระจกตอนรถวิ่งแล้วเอาน้ำล้างๆ
คือกำแน่นไปหน่อย กลัวร่วง เดี๋ยวอดกิน ฮ่าๆๆๆ
เราลงมาทานอาหารตามสั่งง่ายๆ กันตรงจุดจอดส่งรถตู้ค่ะ มื้อแรกของวันตอนบ่ายโมงกว่าๆ
หิวจนจะเปนลม หิวจนลืมถ่าย หิวจนหน้ามืดตามัวไปหมดค่ะ 555
ทานข้าวเสดก้ได้เวลากาแฟค่ะ ตอนแรกพวกเราจะไปร้านเก๊ามะขามกัน
แต่พอไปถึง วันนั้นทางร้านมีจัดงานคอนเสิร์ตพอดีค่ะ อดเลย เราเลยไปร้านนี้แทน
Youngfolk Bean & Brew
ร้านดีงาม กาแฟดี๊ดี แต่เจ้าของร้านดีสุด เอ้ย! มากินกาแฟเน๊าะ 55555
ราคาน่ารักมากค่ะ
แต่เจ้าของน่ารักกว่า ยัง! ยังไม่จบบบ
สั่งไปเรียบร้อย ระหว่างรอ มาเดินดูในร้านกันดีกว่าค่ะ
ร้านจะแบ่งออกเป็น 3 โซน ในร้าน มีแอร์สบายๆ นอกร้านด้านล่าง และบนเรือนค่ะ
พวกเราเลือกนั่งรับลมที่ชานบ้านบนเรือนค่ะ ลมเย็นจนแทบอยากจะลงไปนอน
มีของสะสมเก่าๆเพียบเลย
รอไม่นานกาแฟเราก้มาแล้ว เย้ๆ Iced Americano 45.-
ตามมาด้วย Iced Latte 50.-
Hot Cocoa 45.-
Hot Caramel Macchiato 60.-
ส่วนแก้วอื่นๆ ถ่ายไม่ทัน หายวับไปกับตาค่ะ 55555
ร้านนี้กาแฟไม่ธรรมดาจริงๆบอกเลย ไว้มีโอกาสเราจะแวะมาหาอีกนะเทอ
จากร้านกาแฟ เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก้มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ค่ะ
สวนสนบ่อแก้ว ตั้งอยู่ใน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ หลับบ้าง ตื่นบ้างตามสภาพความอิดโรย
จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เรามาเที่ยวเชียงใหม่โซนนี้ บอกได้เลยว่ามันคือ
“ เ ชี ย ง ใ ห ม่ ใ น อี ก มุ ม ม อ ง”
คือวิวถนนสวยมากกก ขับรถอยู่บนสันเขา แล้วคือ 2 ข้างทางวิวอลังการสุดๆค่ะ
เรามาถึงสวนสนประมาณ 4 โมงครึ่ง แดดกำลังสวยเลยค่ะ
ว่าแล้วก้ถ่ายรูปเล่นกันดีกว่า
แก!!! นี่มันไม่ใช่เกาะนามินะ จะมาสวีทกันแบบนี้ไม่ด้ายยย
ยืนดมกลิ่นสนแล้วมันฟินจิงๆนะ ใครเป็นเหมือนเราบ้าง ชอบกลิ่น pine สุดๆ
ลูกสนก้ชอบบบ แต่ถ้าเทอไม่สนนี่เราไม่ชอบ 55555
อีกซักรูปก่อนกลับ
เราออกจากสวนสนประมาณเกือบๆ 6 โมงเย็นค่ะ รีบเข้าไปเช็คอินที่พักก่อนเลย
คืนนี้เราพักกันที่ อมก๋อยภูวิวรีสอร์ท เป็นบ้านพักน่ารักๆ และเจ้าของก้น่ารักมากกค่ะ
ดูแลดีทุกๆอย่างเลย ขอบคุณพี่วรรณามา ณ ที่นี้ค่า
ราคาก้น่ารัก คืนละ 500 บาทเอง นอนได้ 2 คน เตียงเสริม 100 บาทค่ะ
ตอนเช้าจะมีกาแฟ โอวัลติน ขนมปังปิ้งไว้บริการค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปรีสอร์ทมา เสียใจ T_T
เก็บของเสร็จออกไปหาข้าวกินเรียบร้อย กลับมารีบนอนกันค่ะ
เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องใช้ร่างกายกันหนักมากกกที่ม่อนจอง
ขออนุญาตยกม่อนจองไปไว้อีกรีวิวนึงนะคะ
ด้วยความที่ทั้งรายละเอียด และรูปภาพเยอะมากจีจีค่ะ
>>> ดอยม่อนจอง-เชียงใหม่ <<<
บ่ า ย วั น จั น ท ร์ . . .
พวกเราออกจากศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง เกือบๆบ่าย 3 โมง
ลงมาถึงนิมมาน 1 ทุ่มค่ะ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
คืนสุดท้ายขอนอนแบบสบายๆหน่อยแล้วกัน เราพักที่ THE HIVE CHIANGMAI
ตั้งอยู่บนถนนศิริมังคลาจารย์ ซอย 1 ค่ะ เนืองจากโรงแรมในนิมมานที่ราคาไม่แรงเต็มหมดค่ะ
ส่วนที่เหลือราคาแอบแรงนิดนึง ซึ่งไม่ตรงคอนเซปต์เราคือ “ถูกและดี”
พวกเราเลยเลือกพักที่นี่ค่ะ ไม่ไกลจากถนนนิมมานเหมินท์ เดินได้แบบสบายๆ
ได้เจอกันแล้วเตียงนุ่มๆของเรา
เรามากัน 7 คน เลือกนอนเป็น connecting room 2 ห้องค่ะ
ราคาห้องละ 3200 บาท ตกคนละ 460 บาทค่ะ
ห้องเราเอง เตียงใหญ่ นุ่มสะใจไปเลยค่า
ด้านขวาของรูปเป็นประตูเชื่อมไปอีกห้องค่ะ
เปิดประตูไปแอบดูห้องข้างๆซะหน่อย
ให้เวลาอาบน้ำ จัดการกับร่างของตัวเอง 1 ชั่วโมง
บอกเลยว่าน้ำที่อาบ และสระผมออกมาดำเป็นโคลนเลยค่ะ ตกใจหนักมากก
อาบน้ำเสร็จเราเดินไปหามื้อเย็นที่นิมมานกินกันค่ะ
คืนนี้เราฝากท้องไว้ที่ “ต๋อง โต๊ะ เต็ม” เอ้ย! “ต๋อง เต็ม โต๊ะ” ค่ะ
คืนนี้รอแค่ 20 คิวเองค่ะ ครึ่งชั่วโมงเราก้ได้โต๊ะค่ะ
มาดูเมนูกัน ไล่จากบนลงล่างนะคะ ไม่หิวเท่าไหร่เลยจิงๆนะ
ผักเชียงดาผัดไข่ 73.- // แกงฮังเล 73.-
หมูสามชั้นทอดน้ำปลา 72.- // แคบหมูติดมัน 37.- // ปีกไก่ทอดน้ำปลา 72.-
ลาบหมูคั่ว 67.- // น้ำพริกอ่อง 63.- // แกงคั่วเห็ดถอบ 113.-
ไส้อั่ว 67.- // แกงผักหวานไข่มดแดง 103.- // ย่างรวม 77.-
ข้าวเปล่า 10 จาน + น้ำ + น้ำแข็ง
มื้อนี้ค่าเสียหาย 1,027.- บาทถ้วนค่ะ คนละ 147 บาทเท่านั้น ถูกและดีมีในโลกค่ะ
ก่อนนอนคืนนี้ขออะไรเย็นๆชื่นใจซักหน่อยแล้วกันค่ะ เบาๆแค่พอหายเหนื่อย
ร้านเดิมค่ะ BEER LAB โชคดีมากกที่วันนี้พอมีโต๊ะให้ได้นั่งบ้างค่ะ
สั่งมาคนละแก้ว ถ่ายรูปทันแค่นี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฮ่าๆๆ
สรุปหมดไปกับค่าเบียร์ 1,540 บาท แพงกว่ากินข้าวไปอีกก 555
นั่งชิวซักแปปก้ได้เวลาแยกย้ายค่ะ ห้องใครห้องมัน
เป็นอีกคืนที่หลับลึกมากกก ลึดสุดหมอนจิงๆ
เ ช้ า วั น อั ง ค า ร . . .
เช้านี้เราตกลงกันว่าถ้าใครจะไปกินกาแฟ มาเจอกันที่ล้อบบี้ 7 โมงเช้า
สรุปมีผู้รอดแค่ 3 ชีวิตเท่านั้นค่ะ 55555 เดินรับอากาศเย็นๆ 5 นาทีก้ถึงร้านค่ะ
Doppio Ristr8to
ร้านเดิม เพิ่มเติมคือคิดถึงจัง
ของเรา Iced Long Black เมนูเดิมๆ ไม่ได้ถ่ายมาค่ะ ส่วนอีก 2 แก้วเป็น
Godmother Mocha 88.-
Nikka Macchiato 108.-
เดินกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรมค่ะ มีให้เลือกเป็นชุดหลายเมนูเลยค่ะ
ตอนแรกก้กะว่าจะกินนิดเดียวพอ เพราะคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าไหร่ รองท้องเบาๆพอ
เราสั่งโจ๊กหมูค่ะ มีไข่และปาท่องโก๋มาให้ในเซ็ท ของเพื่อนเป็นข้าวต้มปลาค่ะ
สรุปว่า เห้ยยย ทำไมอร่อยย กินแบบเกลี้ยงจานเลยค่ะ ไม่เหลือพื้นที่ในท้องเผื่อเมนูใดๆทั้งสิ้น
พวกเรา check out ออกจากโรงแรมตอน 9 โมงกว่าๆค่ะ
แรกเริ่มเดิมทีตามแพลนแล้วเราจะไปทาน โอ้กะจู๋ ก่อนกลับกรุงเทพค่ะ
แต่ทุกคนลงความเห็นว่าไม่มีพื้นที่สำหรับเสต็กจานใหญ่แล้วค่ะ ครั้นจะไปกินสลัดเบาๆก้กระไรอยู่
งั้นไว้คราวหน้าก้แล้วกันเนอะ
เราเลยมุ่งหน้าไปซื้อของฝากก่อนกลับกันที่ตลาดทุ่งเกวียนค่ะ
เหลือเวลาอีกเยอะ ไม่อยากกลับถึงกรุงเทพเร็ว กลัวเที่ยวไม่คุ้มวันลา
พวกเราเลยตกลงกันว่าจะหาที่แวะเที่ยวชิวๆกันอีกซักที่ก่อนกลับ แล้วแวะกินกุ้งที่อยุธยาเป็นอันจบทริปค่ะ
มีแต่วัด วัด วัด และวัดค่ะ ไปไม่ถูกเลยทีนี้
และมีสถานที่นึงแว้บเข้ามาในหัวเราพอดี สถานที่นั้นคือ
“เขาหน่อ เขาแก้ว”
ขับรถผ่านทุกครั้งที่มาเชียงใหม่ แต่ไม่เคยแวะซักที
ภูเขาหินอะไรสู๊ง สูงง ตั้งเด่นอยู่ริมถนนเลย เข้าไปหารีวิวอ่านแปป เออๆก้ดูเดินไม่ยากนี่นา โอเคดีล!
ก่อนอื่นขอเกริ่นถึง เขาหน่อ เขาแก้ว ซักเล็กน้อยก่อนแล้วกัน
เขาหน่อ เขาแก้ว เป็นภูเขาหินปูนตั้งอยู่ที่ อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
อยู่ริมถนนพหลโยธิน ช่วงรอยต่อระหว่างนครสวรรค์กับกำแพงเพชรค่ะ
จากถนนใหญ่เข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงซุ้มประตูวัดเขาหน่อ เป็นสถานที่เริ่มเดินของพวกเรา
เรามาถึงประมาณบ่าย 3 โมงค่ะ ลิงเยอะมากกก เพิ่งรู้ว่าเยอะขนาดนี้
เวลาขับรถเข้ามาควรขับด้วยความระมัดระวังนะคะ มีน้องตัวเล็กๆเยอะมากค่ะ
แต่ลิงที่นี่ไม่ค่อยดุค่ะ เค้าจะมองๆๆ พยายามอยากจะเดินเข้ามาหา อย่านะข้ากลัวเอ็ง ฮ่าๆๆ
ขับรถวนหาทางเดินขึ้นเขา มีคุณลุงคนนึง สงสัยเค้าจะเห็นความเงอะงะของพวกเรา
คุณลุงเลยอาสาพาพวกเราขึ้นไปบนเขากันค่ะ
อ่อ ก่อนขึ้นไปอย่าลืมซื้อน้ำติดตัวไว้คนละขวดด้วยนะคะ
เขาแก้วจะเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวนับหมื่น นับแสนตัวค่ะ
ฉะนั้นเขาที่เราจะปีนกันวันนี้ก้คือเขาหน่อค่ะ
จะแบ่งการเดินเป็น 2 ช่วง คือบันไดปูน และบันไดลิงเหล็ก
บันไดปูนหน้าตาแบบนี้ จะมีประมาณ 5 ช่วงค่ะ
บางช่วงก้ชัน บางช่วงก้สบายๆ บันไดบางขั้นก้สูงเป็นฟุตเลยค่ะ
แรกๆก้จะมีน้องลิงเดินติดตามมาให้กำลังใจเป้นช่วงๆค่ะ
แต่หลังๆนี่ไม่มีเลย สงสัยจะเหนื่อย ฮ่าๆๆ
คุณลุงบอกเคล็ดลับเดินไม่ให้เหนื่อย คือเดินช้าๆ จังหวะเดียว เดินไปเรื่อยๆค่ะ
เออเวิร์คแฮะ ไม่เหนื่อยมากเท่าไหร่ แต่ก้ยังเหนื่อยอยู่ดี T_T
จากบันไดปูน จะเข้าสู่ช่วงบันไดเหล็กค่ะ
ชันสุดๆ บางช่วงชันถึงเกือบ 90 องศาเลยทีเดียว บางช่วงก้ต้องเดินเกาะราวริมหน้าผา
เมื่อขึ้นไปเราก้จะเห็นวิวแบบนี้ค่า
คุณลุงใจดีที่ทั้งพาเราขึ้น หามุมถ่ายรูปให้ คิดท่าให้
และที่สำคัญเป็นตากล้องให้ด้วยค่า
วิวพาโนรามาสุดลูกหูลูกตาไปเล้ยย
เห็นแบบนี้ลมแรงมากค่ะ ขาสั่นกันถ้วนหน้า
จากจุดถ่ายรูปแรก เราก้ปีนกันขึ้นมาอีก จะเป็นวิวนี้ค่ะ
นี่ๆ ทำแบบนี้นะลูก ทำตามลุงเล้ย ไม่ต้องกลัว ยืนให้มั่นๆไว้
ยอมใจในความเฟี้ยวของลุงจิงๆค่ะ ฮ่าๆๆ
ด้านบนมีต้นลีลาวดีเยอะมากค่ะ
มองเห็นวัดเขาหน่อที่อยู่ด้านล่างด้วย
ไหนใครบอกว่าชั่วโมงนิดๆก้เสร็จไง พวกเราลงมาถึงข้างล่างตอนเกือบๆ 6 โมงเย็นค่ะ
บอกเลยว่าร่างล้ามาก ถือเป็นการปิดทริปที่โหดสุดๆแล้ว 555 ขึ้นรถได้ก้สลบกันถ้วนหน้า
ถ้าใครชอบความท้าทาย ชอบปีนเขา แนะนำให้ลองมาเที่ยวที่นี่ดูค่ะ
รับรองว่ามันดีต่อใจจริงๆ