‘Mont Saint- Michel’ จริงๆ ชื่อนี้เป็นที่รู้จักของเรามานานแล้ว แต่เรากลับมองข้ามเมืองแห่งนี้ไป แล้วเลือกที่จะไปเดินเฉิดฉายช้อปปิ้งในปารีสมากกว่า แต่นี่คงไม่ใช่ผม เพราะ ความสงบ เที่ยวแบบช้าๆ คือ เป้าหมายของผมในครั้งนี้ครับ อ้อ…ผมต้องบอกไว้ล่วงหน้านิดนึงว่ารูปในรีวิวนี้มีทั้งที่เป็นกล้องใหญ่ และกล้องจาก iPhone6 นะครับ เนื่องจากบางช่วงไม่สามารถหยินกล้องขึ้นมาถ่ายได้จริงๆ จึงอาจทำให้รู้สึกเสียอรรถรสในการเห็นไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ
เกริ่นสั้นๆ เกี่ยวกับประวัติเมืองนี้กันสักหน่อยครับ (ผมก็ต้องอ่านก่อนไปเที่ยวเหมือนกันครับ)
Mont Saint-Michel (มงต์ แซงต์-มิเชล หรือ มงต์ ชานต์-มิเชล) คือวิหารบนเกาะเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง ในแถบ Normandy ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เกาะนี้มีประวัติเริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 และ 7 โดยใช้เป็นฐานที่มั่นของชาว Gallo-Roman ก่อนที่จะถูกตีแตกพ่ายไปและเข้ายึดครองโดยชาว Franks และเรียกเกาะแห่งนี้ว่า Mont Tombe โดยตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทวทูต Michael (เซนต์ไมเคิล) ได้มาเข้าฝันนักบุญ Aubert บิชอปแห่ง เมือง Avranches และในฝันองค์ Michel ได้รับสั่งให้บิชอปสร้างวิหารขึ้นบนเกาะหิน แต่นักบุญ Aubert ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น เนื่องจากนึกว่าที่เข้าฝันเขานั้นคือปีศาจที่พยายามชักนำ จนถึงการเข้าฝันครั้งที่สาม องค์ Michel ได้ใช้นิ้วชี้เผาบริเวณหน้าผากของ Aubert ในฝันและเมื่อตื่นขึ้นมา ก็มีร่องรอยอยู่ที่หน้าผากจริง Aubert จึงได้รับสั่งให้ดำเนินการสร้างวิหารตามที่ได้รับสั่งมาในฝัน
การสร้างวิหารนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากต้องขนหินมาจากพื้นที่ใกล้เคียง โดยส่วนใหญ่นำมาจากเกาะ Chausey นอกชายฝั่งไปสิบกว่ากิโลเมตรและจากเขต Bretagne (Britany ในภาษาอังกฤษ) หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ Mont Saint-Michel ได้กลายเป็นที่แสวงบุญของนักบวชชาวคริสต์ และศาสนิกชนที่เคร่งครัดในศาสนา และมีการเดินทางจากฝั่งไปที่เกาะเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากกระแสน้ำที่ขึ้น-ลงอย่างรวดเร็วของแถบนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่างการเดินข้ามไปที่เกาะอยู่หลายครั้ง ต่อมาเกิดตะกอนทับถมปากแม่น้ำ Couesnan ให้ตื้นเขินขึ้นมากและสามารถเดินได้รอบเกาะ จนมีการสร้างทางเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ (Causeway) ขึ้นในปี ค.ศ. 1879
แต่ในปี 2006 ทางการได้ลงทุนกว่าหกพันล้านบาท สร้างเขื่อนเพื่อควบคุมกระแสน้ำทำให้สลายการทับถมจน Mont Saint-Michel กลับมาเป็นเกาะอีกครั้ง พร้อมรื้อทางเชื่อมและแทนที่ด้วยสะพานโปร่งที่ให้น้ำไหลลอดผ่านได้ โดยเพิ่งเปิดใช้งานในปี 2014 นี่เอง ส่วนลานจอดรถตรงทางเชื่อมก็ถูกรื้อและย้ายขึ้นไปบนฝั่ง โดยมีรถชัตเติลบัสรับส่งระหว่างที่จอดรถข้ามสะพานไปยังเกาะแทน
ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-16 มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเพิ่มเติมภายในเกาะ และมีประชาชนย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้น มีการตั้งหมู่บ้านขึ้นมาที่เชิงเขา และเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการป้องกันตัวเอง ทำให้เกาะแห่งนี้ถูกใช้เป็นทั้งที่มั่นทางทหารด้วย นอกเหนือจากศาสนสถาน และยังสามารถต้านทานการบุกของอังกฤษ ในช่วงสงครามร้อยปี (ค.ศ. 1337-1453) ขณะเดียวกันคณะสงฆ์ของวิหารแห่งนี้ก็เพิ่มความมั่งคั่งและอิทธิพลขึ้น แต่ก็กลับตกต่ำลงเมือถึงยุคการปฏิรูปศาสนา (reformation)
ต่อมาในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วิหารแห่งนี้ก็ร้างผู้คนจนถูกนำมาใช้เป็นคุกคุมขังนักโทษสำคัญแทน ในปี ค.ศ. 1836 กลุ่มปัญญาชนของฝรั่งเศส รวมทั้ง Victor Hugo (ผู้แต่งเรื่อง Les Miserables และ The Hunchback of Notre-Dame ซึ่งเป็นทั้งนักประพันธ์และผู้มีอิทธิพลทางความคิดคนสำคัญในยุคนั้น) ได้พากันเรียกร้องให้อนุรักษ์มรดกสำคัญของชาตินำไปสู่การเลิกใช้คุกในปี ค.ศ. 1863 และประกาศเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1874
ในปี ค.ศ. 1966 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 1,000 ปี ของการก่อตั้งวิหาร คณะสงฆ์และเหล่าผู้แสวงบุญเริ่มกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งจนถึงปี 1979 องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้ Mont Saint-Michel เป็นมรดกโลกทั้งทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และความสวยงามตามธรรมชาติ
ปัจจุบันนี้ Mont Saint-Michel เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนมาเข้าชมมากกว่าปีละ 3 ล้านคน ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการเยี่ยมชมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฝรั่งเศสรองจาก หอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซายครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก dplusguide ด้วยนะครับ
ว่ากันด้วยเรื่องการเดินทางครับ
การเดินทางไป Mont Saint-Michel คุณสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือ TGV จากปารีสสายตรงสู่เมือง Renne (แรน) แล้วต่อรถบัสไปอีกแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ ได้เลยครับ ลงที่สุดทางได้เลย แต่ข้อควรระวังคือ คุณต้องไปรับตั๋วแข็งก่อนที่ออฟฟิศของ SNCF และอย่าลืมเอาตั๋วเเข็งไปสแกนที่เครื่อง verify ตั๋ว ก่อนขึ้นรถนะครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำ รับรองโดนปรับแบบหมดตัวตอนอยู่บนรถแน่นอนครับ
อันนี้เป็นตั๋วแข็งที่ไปรับมาครับ
นี่น่ะหรือ TGV ที่อาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสสมัยที่เรียนตอนม.ปลาย ดูภูมิใจมากเวลาเล่าให้ฟังถึงสรรพคุณของมัน ซึ่งมาถึงตอนนี้เลยเข้าใจเลยว่าทำไมอาจารย์ถึงมีสีหน้าที่มีความสุขตลอดเวลาที่เล่าประสบการณ์ให้ฟังตอนที่ท่านมาอบรมที่นี่
สำหรับการซื้อตั๋วรถไฟ TGV นั้น อันนี้ปักหมุดเลยครับ คุณควรซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้เลย เหมือนจองตั๋ว Low cost แหล่ะครับ ให้เลือกรอบเช้าๆ เพราะคุณจะได้ตั๋วที่นั่งแบบ first class ในราคาที่ถูกกว่าราคารอบอื่นๆ สิ่งที่ผมอยากบอกคือ การเดินทางด้วยรถไฟในยุโรปนั้นไม่ถูกครับ แพงกว่าตั๋วเครื่องบินที่บินข้ามประเทศกันเสียอีก อย่างรอบที่ผมไป เจอไปคนละเกือบ 5 พันเลยครับ แตข้อดีของการเดินทางด้วยรถไฟในยุโรปก็คือ คุณไม่ต้องเสียเวลาลากกระเป๋าไปต่อรถ หรือเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางครับ ส่วนมากตรงไปยังปลายทางได้เลยครับ นอกจากนี้ตั๋วรถไฟ TGV นั้นมีเงื่อนไขคล้ายกับตั๋วเครื่องบินมากๆ เช่น แบบคืนเงินไม่ได้ เปลี่ยนเวลาเดินทางไม่ได้ หรือมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติม ฉะนั้นอ่านกันให้ดีๆ แล้วเลือกตามความเหมาะสมกับงบของตัวเองนะครับ
สำหรับเว็บที่ใช้จองตั๋ว TGV มี 2 เว็บครับ ตามนี้เลยครับ แต่ ห้ามลืมเอาตั๋วไปเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงที่ office ของเขาเด็ดขาด!
เว็บแรกครับ https://en.voyages-sncf.com/en/tgv
อีกเว็บนึงน่าจะเป็นคล้ายๆ กับ agent ที่ Co กับ SNCF ครับ หรือใครสามารถช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้หน่อยก็จะกราบงามๆ ครับ มีแปลงค่าเงินเป็นไทยบาทด้วยครับ http://www.raileurope.co.th
ผมไม่ได้ถ่ายรูปรอบๆ TGV มามากมายนักครับเพราะว่าเราเกือบตกรถเพราะต้องไปเปลี่ยนตั๋วเป็นตั๋วจริงครับ เกือบตกรถกันเลยทีเดียว แม้แต่จะหยิบกล้องมาถ่ายบรรยากาศระหว่างทางยังไม่ไหวเลยครับ เนื่องจากเช้าจัด ขึ้นรถปุ๊บ หลับยาวเลย แต่ก็ได้มารูปนึงครับ 555
ในที่สุดก็มาถึงสถาานี Renne ครับ ให้คุณเดินออกมานอกสถานนี แล้วเลี้ยวขวา จะเจอสถานีรถบัสไปยัง Mont Saint-Michel ครับ คุณก็มาซื้อตั๋วรถบัสที่สถานีได้เลยครับ จริงๆ แนะนำให้จองรวดเดียวจากเว็บ https://en.voyages-sncf.com/en/tgv ไปเลยครับ แต่เราต้องมั่นใจว่าจะไม่ตกรถนะครับด้านมี Wifi ให้ใช้ แต่เซ็งตรงที่ค่าเข้าห้องน้ำนี่แหล่ะครับเปลืองมาก เก็บทุกรอบเลย ที่นี่จะมีรถออกเป็นรอบนะครับ ถ้ารอนานก็เดินเที่ยวเมืองได้ก่อนครับ ผมว่าเมืองนี้มีเสน่ห์ไม่น้อยหน้าปารีสจริงๆ เดี๋ยวผมจะพามาเที่ยวก่อนกลับปารีสอีกทีนะครับ
รถออกเป็นรอบครับ เราก็ดูรอบของเราว่ารอบไหน เขาจะบอกว่ารถคันไหนจอดอยู่ช่องไหนที่ Sign borad ครับ
รถมาแล้วครับ รอบนี้มีคนไทยด้วยครับ ดีใจจัง
ระหว่างทางก็ชมวิวไป สิ่งที่ผมรู้สึกได้ชัดเจนมากก็คือ บ้านเมืองเขาสวยจริงๆ ต่อให้เป็นชนบทก็ดูสะอาด และดูน่าอยู่ครับ ที่เห็นสีเหลืองๆ นี่คือต้น grapeseed นะครับ ปลุกกันเยอะจริงๆ ระหว่างทางก็เจอครับ
แล้วเราก็มาถึงปลายทางครับ เราพักที่ Hotel Vert ครับ ค่อนข้างสบายเลย แต่อาหารเช้าจะเป็นแบบง่ายๆ จริงๆ ไม่มีบุฟเฟ่ต์จัดเต็มแบบบ้านเราครับ
เอาล่ะไปหามื้อกลางวันก่อน ที่นี่เขาเปิดเป็นเวลานะครับอย่าคิดว่าจะเข้าไปกินตอนไหนก็ได้ สิ่งสำคัญมากในการไปเที่ยวประเทศต่างๆ ก็คือ เราควรศึกษาวัฒนธรรมของประเทศนั้นสักหน่อยว่าวันไหนคนเที่ยว วันไหนร้านขายอาหารปิด เพราะมิฉะนั้นคุณจะหมดสนุกไปเลย ที่ฝรั่งเศส ร้านต่างๆ เปิด-ปิดเป็นเวลาครับ ต่อให้คุณไปนั่งรอก่อนแล้วสั่งอาหารเขาก็ไม่รับออร์เดอร์นะครับ ช่วงเวลาที่ทานอาหารแบ่งเป็น 3 เวลา มื้อเช้าตั้งแต่เวลาประมาณ 7.00 น. – 9.00 น. โดยมีเครื่องดื่มร้อน (กาแฟ ชา หรือช็อคโกแลต) และครัวซองต์ หรือขนมปังกับเนย แยมผลไม้ อาหารกลางวันเริ่มตั้งแต่เที่ยงถึง 14.00 น. ถือเป็นอาหารมือสำคัญ โดยปกติจะเริ่มด้วยสลัดหรืออาหารเรียกน้ำย่อย จากนั้นเป็นอาหารจานหลักและของหวาน แล้วก็จะมีเนยอีกมากมายก่ายกองเข็นออกมาเสริ์ฟให้คุณเลือกครับ ตบท้ายด้วยกาแฟเอ็กซ์เพรสโซเข้มข้นหอมกรุ่น และอาหารมื้อค่ำเริ่มรับประทานกันประมาณเวลา 20.00 น. ครับ ดูเวลาและวางแผนกันให้ดีๆ นะครับ ร้านสะดวกซื้ออย่าได้หวังครับ แต่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีรูปอาหารมาให้เลย เพราะไฟล์เสียหมดเลยครับ เศร้า….
แล้วเราก็เริ่มทริป Mont Saint-Michel กันด้วยรถ Shuttle Bus นี่เลยครับ มีให้บริการตลอดเวลาจนถึงประมาณ 2 ทุ่มนะครับ เพราะน้ำจะขึ้นจนออกจากเกาะไม่ได้ครับ หรือหากอยากได้อารมณ์หน่อยก็สามารถใช้บริการรถม้าได้ครับ มีค่าบริการเพิ่มหน่อย ผมไม่ทราบราคาจริงๆ ครับ อีกวิธีคือเช่าจักรยานแล้วปั่นข้ามเกาะไปครับ
ภายในเมืองแบบในหนังเลยครับ บ้านทำด้วยหินหยาบๆ เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ให้เรานั่งชิล แต่เราจะเข้าไปดูตัวโบสถ์กันครับ
ภายในโบสถ์ก็จะเป็นห้องๆ ครับ ยิ่งช่วงไหนมีแสดงแดดส่องมายิ่งสวยสะพรึงเลยจริงๆ บนเกาะนี้มีที่พักด้วยนะครับ ใครอยากได้บรรยากาศ
เราเดินย้อนกลับมาที่ด้านหน้าแล้ววนรอบหมู่บ้านกันนะครับ เจอร้านนี้ครับ เป็นร้านต้นตำหรับของ Omlette ครับ มีบริการที่พักด้วยนะครับ
ในเมืองก็เต็มไปด้วยร้านรวยขายของต่างๆ ตอนนี้ก็เกือบ 6 โมงแล้วครับ หลายๆ ร้านเริ่มทะยอยเก็บของแล้วครับคาดว่าต้องกลับให้ทันรถชัตเติ้ลบัสครับ
แล้วเราก็เริ่มมื้อค่ำกันครับ คือเราแค่กลัวว่ากลับไปฝั่งแล้วจะหาอะไรทานไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วคนฝรั่งเศสทานมื้อค่ำ ก็คือมื้อค่ำจริงๆ ครับ แต่วันนี้มีร้านนึงเปิดก่อนเวลาครับ ประมาณ 18.30 ก็เปิดแล้วถือว่าโชคดีมากๆ เพราะไม่งั้นเราจะกลับฝั่งไม่ทันครับ
แล้วเราก็ปิดท้ายคืนนี้ด้วยภาพโบสถ์กลางทะเลด้วยภาพนี้ครับ
สำหรับเมืองบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ผมบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ คุณควรมีทริปเที่ยวเมืองนี้อย่างน้อยสัก 2 วัน หากคุณมาเที่ยวฝรั่งเศสครับ เพราะคุณจะรู้จักอีกมุมหนึ่งของฝรั่งเศสที่ไม่ได้มีแต่ของแบรนด์เนม หรือแฟชั่น คุณจะเข้าใจเลยว่าทำไมฝรั่งเศสจะเป็นอีกหนึ่งชาติของยุโรปที่มีความยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรมครับ
สรุปสิ่งที่ต้องระวังสำหรับการเที่ยว Mont St-Michel
– ซื้อตั๋ว TGV ออนไลน์ซะ แล้วอย่าลืมมาเปลี่ยนเป็นตั๋วแข็งที่ออฟฟิศด้วย รวมทั้งไป verify ตั๋วก่อนขึ้นรถ ที่หัวขบวนรถจะมีเคื่อง ตื๊ดให้ครับ
– ดูรอบรถให้ดี และดูที่นั่งด้วยไม่งั้นคุณจะดูสเล่อมาก
– อ่านข้อมูลที่ท่องเที่ยวก่อนไป เพราะจะทำให้คุณอินกับทริปมากกว่าเดิม
– ศึกษาวัฒนธรรมเขาสักนิด เช่นเรื่องอาหารการกิน เวลาปิดเปิดร้าน หรือควรถ่ายรูปจุดไหน เพราะเวลาคุณมีจำกัดครับ
– ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพราะเขาจะพูดตรง เตือนตรง จับจริง
– กระเป๋าสัมภาระต่างๆ ต้องระวังอยู่เสมอ ห้ามวางโดยที่ไม่อยู่ติดกับตัวเราเด็ดขาด
– พยายามใช้เหรียญก่อน หรือมีแบ๊งค์ย่อยติดไว้จะดีมาก บางร้านเจอแบ๊งค์ใหญ่ บ่นไม่หยุด
– ข้อนี้ขอเสริมครับ เราควรเตรียม น้ำเปล่าขวดเล็ก ขนมปังกรุบกริป และที่สำคัญเลย ทิชชู่เปียก! ติดกระเป๋าไว้ด้วยครับ ในยามที่คุณต้อง
ถ่ายหนักคุณจะรู้ว่าทิชชู่เปียกคือสวรรค์….. ส่วนน้ำเปล่าและขนมปังมันคือ First Aid kit ของคุณเลย เชื่อสิ!
ผมหวังว่า Mont Saint-Michel จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณต้อง Add ลงไป สำหรับทริปเที่ยวฝรั่งเศสของคุณครับ อ้อ… ตอนหน้าผมจะพาไปเดินเล่นรอบเมือง Renne นะครับ เป็นความสุขแบบสั้นๆ ที่กลับรู้สึกว่า มันใช่กว่าปารีส (สำหรับผม) ครับ
แล้วพบกันนะครับ